- รายละเอียด
- ฮิต: 8445
ประวัติหลวงปู่ทองดี อนีโฆ
(พระพิศาลญาณวงศ์)
วัดใหม่ปลายห้วย
ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร
หลวงปู่ทองดี อนีโฆ เดิมชื่อ ทองดี เพชรวิจิตร เกิดเมื่อปีขาล เดือนอ้าย วันอาทิตย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ บิดาชื่อ นายทวี มารดาชื่อ นางริน อยู่บ้านวังกระทิง อ.สามง่าม จ.พิจิตร ชีวิตเกิดมาตั้งแต่จำความได้เห็นทุกข์ของคนเรานี้มีผัว มีเมียก็ทุกข์ ตื่นเช้ามาก็ทะเลาะด่ากันบ้าง เห็นแล้วชีวิตคู่นี้ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย มีแต่ทุกข์ แล้วอะไรเล่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราสงบได้ อะไรเป็นเหตุให้เราสงบได้ คิดตรงนี้แล้วไม่อยากจะมีคู่ชีวิต แล้วคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราได้บวช ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เราไม่สร้างทุกข์ให้ใคร เพราะไม่มีใครมาติดเชื้อมาเป็นหน่อจากเราอีกต่อไป เราจะเป็นผู้บุกเบิกทุกข์ให้กับเขาเหล่าน้ัน เพราะเรามีขันธ์ห้า เราก็ทุกข์ของเราพออยู่แล้ว พอแม่ตายก็เลยตัดสินใจบวช เมื่อตอนอายุ ๒๑ ปี ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ ตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์
พอบวชเสร็จก็ไปอาศัยอยู่กับ หลวงปู่สี ธัมรัตโต ท่านเป็นพระที่ไม่ได้อยู่วัด ไม่มีชื่อเสียงกับใคร อยู่ในป่า พอไปอยู่กับท่านๆ ก็สอนการปฏิบัติให้ พิจารณารูปนาม ของเรานี้ว่า อะไรมันเกิดขึ้นกับใจ โลภเกิดขึ้น หลงเกิดขึ้น โกรธเกิดขึ้น ถ้าเรารู้ตัวเราได้ หาตัวรู้ก็จะรู้ตัว ถ้ายังไม่เจอตัวรู้ เราก็ยังไม่รู้ตัว เพราะเราไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ตัวเรา จริงๆ ตอนนี้หลวงปู่ท่านก็บอกหาดูในใจตัวเองว่า ใจตัวเรานี้มีโลภเท่าไหร่ มีโกรธเท่าไหร่ มีหลงเท่าไหร่ ก็เลยพิจารณาตามที่ท่านสอนง่ายๆอย่างนี้ วันนี้มันโกรธ-รู้แล้ว่าโกรธ วันนี้มันโลภ-รู้แล้วว่าโลภ วันนี้มันหลง-รู้แล้วว่าหลงแล้วท่านก็สอนว่ามันมีของแก้ เหมือนที่องค์พระบรมครูตรัสว่า " มีแจ้งก็ต้องมีมืด มีมืดก็ยังมีแจ้ง "
หลวงปู่ท่านบอกว่า เรามีโลภเท่าไหร่ต้องให้เสีย
เรามีโกรธจงระงับดับด้วยสติ เพราะสติเป็นตัวรู้ รู้อยู่ที่โกรธแล้ว
เราก็ดับด้วยเมตตา คิดถีงเขาคิดถึงเรา ว่าเขาก็ไม่ชอบ เราก็ไม่ชอบ
ในสิ่งที่เราโกรธในสิ่งที่เราไม่ชอบ เรามีหลง หลงอะไรท่านก็สอน
หลงอยู่ในวังวนนี้ว่าคนเราเกิดมาไม่รู้จักทุกข์ เพราะเอาสุขปลอมๆ
มาหลอกตัวเอง ก็เลยไม่รู้ว่า สุขจริงๆ คิดอะไรเลย เป็นความหลง
อวิชชามาหุ้มห่อ ไม่ให้เราเห็นของจริงเอาไว้ ท่านสอนให้พิจารณา
อย่างสมมุติเราจะรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง เราควรทำอย่างไร
ถ้าผู้หญิงคนนั้นถ่มน้ำลายออกมา เรากินได้ไหม เราก็กินไม่ได้
แม้แต่ตัวเราเองท่านก็สอนให้ดู
ลองใครเอาข้าวมาถวายเราเป็นกับข้าวดีๆ
แล้วเราลองสั่งน้ำมูกใส่สิ เราจะกินของเราเองได้ไหม
ตัวเรายังเกลียดตัวเราเองเลย
แล้วเราจะหลงตัวเองไปทำไม....
(สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่http://www.watmaiplaihouy.com/index.php/t-001/t-002) ::ดาว์นโหลดหนังสือชีวประวัติหลวงปู่ฯครับ::
วัดใหม่ปลายห้วยดินแดนเมืองเก่า
หลวงปู่ฯ มาอยู่วัดใหม่ปลายห้วยเมื่อก่อนนี้ย้อนไปเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ที่นี่เป็นบ้านล้มลุก ไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย พอเขามาตั้งชุมชนได้ ก็ยังไม่มีวัด เวลาคนจะไปทำบุญก็ต้องไปไกลประมาณ ๑๐ กว่ากิโลฯ ก็คิดว่าที่นี่อดีตเคยเป็นเมืองเก่าที่ไม่มีใครรู้ เป็นเมืองที่ขุดลงไปใต้ติดน ลึกลงไปจะมีคูเมืองกำแพงเก่า มีวัดวาเก่าอยู่เยอะ เมื่อก่อนนี้หลวงปู่คิดเองฝันเอง ได้ใช้ชื่อว่าเมืองสว่างพอดี เพราะคนนครสวรรค์จะไปสุโขทัย ไปศรีสัชนาลัย คนกำแพงก็มาเมืองโอคะ เมืองปากยม จะมาสว่างที่นี่พอดี ก็เลยเรียกว่า เมืองสว่างพอดี หรือ สว่างบุรีในปัจจุบัน กรมศิลปากรเขามาดูบอกว่ามีอายุประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ ปี แต่ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าเมืองนี้ ชื่อเมืองอะไรกันแน่ แต่มีอาณาเขตกว้างไกลมาก นี่คือในนิมิตของหลวงปู่
พระนักปฏิบัติและพระนักพัฒนา
หลวงปู่ทองดีฯ นอกจากท่านจะเป็นพระนักปฎิบัติแล้ว ยังเป็นพระนักพัฒนาอีกท่าน ที่ยากหาใครเปรียบได้ หลวงปู่ฯ ท่านเปิดโอกาสและยังให้การช่วยเหลือชุมชนในสิ่งที่ยังคงขาดแคลนต่างๆ แต่มีความจำเป็นอย่างมาก เช่น ระบบการสารธารณสุขต่างๆ /การมอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน ดังที่ปรากฏหลายโครงการที่หลวงปู่ได้จัดทำขึ้น /บูรณะส่งเสริมศาสนสถานอื่นและบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่พร้อมให้การช่วยเหลือและดูแลประชาชน
โครงการที่ได้ดำเนินการเสร็จแล้ว เช่น โครงการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ และหอผู้ป่วยอายุกรรม ประจำโรงพยาบาลพิจิตร จังหวัดพิจิตร
โครงการก่อสร้างอาคาร โรงพยาบาลนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก และยังมีอีกหลายโครงการที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนี้
ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ นี้เป็นต้นไปหลวงปู่ฯ ท่านมีดำริว่าจะดำเนินการเตรียมจัดสร้าง โรงพยาบาลสามง่าม อ.สามง่าม จ.พิจิตร
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้ง (ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ สาธุ)
" เมื่อเราเกิดมาจากความโง่
และความทะยานอยากจากตัณหาทั้งหลายแล้ว
เราเกิดมาทำไม ต้องถามใจตัวเองดู
เราอยู่ไปวันหนึ่งๆมีแต่ความเศร้าหมอง
มีแต่ความทุกข์ เราจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั่น
เราจะมีปัญญาได้นั้น
ต้องเกิดจากการพิจารณา พิจารณาถึงความนึกคิด
พิจารณาในกายของเรา
พิจารณาความทุกข์ พิจารณาความสุข
อะไรคือสุข อะไรคือทุกข์
อะไรทำให้จิตใจเราหวั่นไหว
อะไรทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง
อะไรกันเล่าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น "
ธรรมะจากหลวงปู่ทองดี อนีโฆ(พระพิศาลญาณวงศ์) เมื่อวันพุธที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
(ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก คุณ Pttana Piskanok)